15308 จำนวนผู้เข้าชม |
ด้วยความทะเยอทะยาน ของบุคคลทั้งสอง เพื่อที่จะสร้างยานยนต์ที่ไม่ธรรมดา Charles Rolls และ Sir Henry Royce จับมือร่วมกัน ในปี 1904 แม้ทั้งสองคนจะมาจากภูมิหลังที่ต่างกันมาก แต่กับกลายมาเป็นผู้ก่อตั้ง Rolls-Royce Motor Cars ได้อย่างไม่น่าเชื่อ จากความหลงใหลในงานวิศวกรรมและความปรารถนาที่จะสร้างรถยนต์ที่ดีที่สุดในโลก
Charles Stewart Rolls เกิดในปี ค.ศ. 1877 ในจัตุรัส Berkeley ที่ร่ำรวยเป็นบุตรชายคนที่สามของ Lord and Lady Llangattock หลังจากเลิกเรียนที่ Eton แล้ว Rolls เรียนวิศวกรรมเครื่องกลที่ Trinity College, Cambridge ซึ่งเขาเป็นนักศึกษาปริญญาตรีคนแรกที่เป็นเจ้าของรถยนต์ และได้รับชื่อเสียงมากมาย ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์ จนได้รับฉายาว่า 'Dirty Rolls' และ 'Petrolls'
ตอนที่เขาออกจากมหาวิทยาลัย Rolls เป็นนักขับรถที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในปี 1903 เขาทำลายสถิติโลก ในสวนสาธารณะ Phoenix Park เมือง Dublin ด้วยรถ Mors 30 แรงม้า ด้วยความเร็ว 133 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เพื่อสนับสนุนกิจกรรมกีฬาของเขา Rolls ได้จัดตั้งตัวแทนจำหน่ายรถยนต์แห่งแรก ในสหราชอาณาจักรกับเพื่อนของเขา ใช้ชื่อว่า Claude Johnson: CS Rolls & Co. เป็นการนำเข้า และจำหน่ายรถยนต์ 2 แบรนด์ คือ Peugeot จากฝรั่งเศส และ Minerva จากเบลเยียม
ตรงกันข้ามกับ Rolls ผู้ซึ่งเคยได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างสุขสบาย Henry Royce กลับต้องทำงาน ตั้งแต่ อายุ 9 ขวบ Royce เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1863 ในปีเตอร์โบโรห์ ประเทศอังกฤษ งานของเขาคือ ขายหนังสือพิมพ์ และเป็นเด็กส่งจดหมาย ก่อนที่ชีวิตเขาจะเปลี่ยนแปลงไป
เมื่อตอนอายุ 14 ปี ป้าของ Royce ได้มอบเงินให้เขา เพื่อไปเริ่มฝึกงานที่ Great Northern Railway Works ซึ่งเกี่ยวกับรถไฟ ทำงานภายใต้หนึ่งในวิศวกรที่ยอดเยี่ยมของวัน Royce ใช้โอกาสทุกครั้งในการพัฒนาตัวเอง ใช้เวลาช่วงเย็นศึกษาพีชคณิตวิศวกรรม ซึ่งเป็นสายงานของวิศว ด้วยพรสวรรค์อันเต็มเปี่ยมทางด้านนี้ Royce จึงได้เข้าทำงานกับ บริษัท Electric Light and Power Company
ด้วยความทะเยอทะยานของเขา Royce จึงทำงานด้านวิศวกรรมแบบ Full-time เขาเริ่มทำธุรกิจกับเพื่อนร่วมงาน ชื่อ Ernest Claremont พวกเขาทำงานตลอดเวลาเพื่อผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น ออดบ้าน และไดนาโม
จนกระทั่งเขาซื้อรถมือสอง คันหนึ่งเป็นแบบ 2 สูบ ค่าย Decauville ของฝรั่งเศส Royce จึงเริ่มให้ความสนใจในการสร้างรถยนต์ เขามีความปรารถนา ในการสร้างสิ่งที่สมบูรณ์แบบ และมีจรรยาบรรณในการทำงาน ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นเสาหลักของปรัชญาของ Rolls-Royce“ ใช้สิ่งที่ดีที่สุดที่มีอยู่และทำให้ดีขึ้น” เขาพบข้อบกพร่องในการสร้าง ของรถ Decauville ในช่วงท้ายของปี 1903 เขาได้ออกแบบและสร้างเครื่องยนต์เบนซินเครื่องแรกของเขา และในเดือนเมษายน ปี 1904 เขาได้ขับรถ Royce 10hp คันแรกของเขา เข้าสู่เมือง
Henry Edmunds ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น ในบริษัทของ Royce และเพื่อนของ Rolls กำลังพูดคุยเกี่ยวกับรถยนต์ 10hp Royce ใหม่ของเขา ในช่วงเวลานั้น Rolls รู้สึกหงุดหงิดที่เขาสามารถขายสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้เท่านั้น ดังนั้น Edmunds จึงจัดการประชุม กับชายผู้อยู่เบื้องหลังรถ 10hp โดยที่ Edmunds ยังไม่รู้ว่าการประชุมที่เขาจัดในครั้งนี้ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงอนาคตของวงการยานยนต์ ไปตลอดกาล
Rolls และ Royce พบกันตัวเป็นๆ ครั้งแรก ณ โรงแรม The Midland Hotel ในวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1904 ที่เมืองแมนเชสเตอร์ ภายในไม่กี่นาทีที่ได้เห็น รถ Royce เครื่อง 2 สูบ 10hp เขารู้ทันทีว่านี่แหละ คือสิ่งที่กำลังมองหา หลังจากที่ได้นำรถออกมาทดลองขับ Rolls ตอบตกลงทันที เพื่อต้องการที่จะขายรถยนต์ให้มากที่สุดเท่าที่ Royce สามารถสร้าง และได้เริ่มในภายใต้ชื่อ Rolls-Royce
การสร้างแบรนด์ จำเป็นต้องมาพร้อมวิสัยทัศน์ ดังนั้นในขณะที่ Rolls และ Royce กำลังมุ่งอยู่กับการสร้าง และขายรถยนต์ Rolls ยังมีผู้ช่วยอีกคน ชื่อ Claude Johnson เข้ามาสู่ฐานะ กรรมการผู้จัดการ และช่วยขยายชื่อเสียงของ เขามีส่วนสำคัญมากต่อความสำเร็จของบริษัท ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักในนามว่า 'The hyphen ใน Rolls-Royce'
หนึ่งในโฆษณา ช่วงแรกๆ ของ Johnson สำหรับรถยนต์เครื่องยนต์ 40/50 แรงม้า ใช้คำโปรโมทว่า ' เครื่องยนต์ 6 สูบ Rolls-Royce ไม่ใช่หนึ่งในรถที่ดีที่สุด แต่เป็นรถที่ดีที่สุดในโลก' ในช่วงเวลานั้นเขาได้แนะนำวลีเด็ดๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Rolls Royce อยู่เรื่อยๆ Johnson ได้เตรียมชุดโฆษณา เพื่อออกสื่อสาธารณะ โดยแสดงถึง ความเงียบสงบของตัวรถ และความน่าเชื่อถือ ของรถยนต์ Rolls-Royce แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่เหนือกว่า และก้าวสู่ระดับโลกสำหรับวิศวกรรมโลกของพวกเขา ให้ประวัติศาสตร์ได้จารึก
ในปี 1907 รถรุ่น Silver Ghost ถูกยกย่องว่า เป็นรถที่ดีที่สุดในโลก หลังจากทำสถิติที่น่าเหลือเชื่อ ด้วยการเดินทางจาก London ไป Glasgow ต่อเนื่อง 27 ครั้ง รวมระยะทางกว่า 23,127 กิโลเมตร ทำลายสถิติโลกของการวิ่งแบบต่อเนื่อง แบบไม่หยุด แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพ ความทนทาน และความสะดวกสบายเข้าด้วยกัน
ชื่อนี้ได้กลายเป็นตำนาน แต่หลังจากนั้น Silver Ghost ได้ถูกยุติลงในปี 1925 และแทนด้วยรุ่นใหม่อย่าง Phantom โดยเจนเนอเรชั่นแรก ใช้ชื่อว่า Phantom I ถูกสร้างขึ้นในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา
ช่วงทศวรรษ 1920 ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการมีส่วนร่วมของ Rolls-Royce ในงานวิศวกรรมการบิน หลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และการเปิดโรงงาน Rolls-Royce แห่งแรก ในรัฐแมสซาชูเซตส์สหรัฐอเมริกา เครื่องยนต์ 'R' ได้สร้างความเร็วสถิติโลกใหม่ด้านทางอากาศ
พร้อมกับพัฒนาเครื่องยนต์ เพื่อเข้าสู่การแข่งขันเรือบินระหว่างทวีปของ Schneider Trophy ในปี 1929 และต่อมาพัฒนาเป็นเครื่องยนต์ Merlin แบบ V12 ซึ่งต่อมาถูกนำมาติดตั้งในเครื่องบินขับไล่ อย่าง Spitfire และ Hurricane อีกด้วย
ในปี 1930 Rolls-Royce ทำลายสถิติโลก ทั้งทางบก และทางทะเล และการมาถึงของรุ่น Phantom III
Sir Malcolm Campbell นักแข่งและนักแข่งรถชาวอังกฤษ ทำลายความเร็วสถิติโลก ในปี 1933 ด้วยความเร็ว 272.46 ไมล์ต่อชั่วโมง ด้วยพาหนะชื่อ Bluebird แต่สี่ปีต่อมา George Eyston ได้ทำลายสถิติด้วยความเร็ว 312.2 ไมล์ต่อชั่วโมง ในรถ Thunderbolt ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 'R' ของ Rolls-Royce และ Sir Henry Segrave ทำลายสถิติโลกทางน้ำ ด้วยความเร็ว 119 ไมล์ต่อชั่วโมง ในเรือ Speed boat รุ่น Miss England II ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ 'R' เช่นกัน หลังจากนั้นไม่นาน Sir Henry ได้เสียชีวิตลง หลังจากชนกับต้นซุงที่จมอยู่ใต้น้ำ
Rolls-Royce ปรับปรุงตัวถังของ Phantom II ให้ดียิ่งขึ้น ทำให้มันเป็นตัวเลือกแรก สำหรับคนชนชั้นกลางที่ต้องการขับมันแบบชิลๆ ไปทางใต้ของฝรั่งเศสในช่วงสุดสัปดาห์ ทศวรรษเดียวกันนั้นได้เปิดตัว Rolls-Royce - Phantom III เป็นรุ่นแรกของ Rolls Royce ที่ใช้เครื่องยนต์ V12
ในปี 1940 ได้เห็นพัฒนาการใหม่ ๆ ในด้านงานฝีมือ และงานออกแบบ จนกระทั่งปี 1959 รถรุ่น Silver Wraith กับตัวถังแบบ Coach-Built
ด้วยโครงสร้างแชสซีแบบแยกออกจากกัน ทำให้รุ่น Silver Wraith เป็นรถที่หนักมาก ดังนั้นจึงต้องติดตั้งเครื่องยนต์ 4,887 ซีซี ขนาดใหญ่ เข้ามารับมือกับน้ำหนักนี้
เมื่อรุ่น Silver Dawn เข้ามา นี่คือ Rolls Royce รุ่นแรกที่ขาย ใช้ตัวถังแบบเหล็กมาตรฐาน เบากว่าตัวถัง Coach-built ของ Silver Wraith ทำให้รุ่น Coach-Buit ลดน้อยลงไปมาก และกลายเป็นของสะสมหายาก
ทศวรรษ 1950 เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่าง Rolls Royce และราชวงศ์
ในการเปลี่ยนให้ Daimler กลายมาเป็นผู้จัดจำหน่ายรถส่วนพระองค์ให้กับราชวงศ์อังกฤษ เจ้าหญิงอลิซาเบธได้รับรถยนต์ Phantom IV คันแรกในปี 1950 ออกแบบพิเศษเพื่อใช้เฉพาะในราชวงศ์ และหัวหน้าใหญ่ของแต่ละภาครัฐเท่านั้น Phantom IV จึงจัดเป็นรถ Roll Royce รุ่นที่เก่าแก่และหายากที่สุดในโลก ซึ่งมีผลิตออกมาเพียง 18 คันเท่านั้น
การเปิดตัวของรุ่น Silver Cloud มาในปี 1955 ออกแบบโดย JP Blatchley ทำความเร็วสูงสุดได้ 106 ไมล์/ชั่วโมง ติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 4,887cc เช่นเดียวกับ Silver Dawn แต่มาพร้อมตัวถังเหล็กแบบใหม่ทั้งหมด
ในตอนท้ายของทศวรรษ 1950 เป็นการมาถึงของรุ่น Phantom V ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V8 พร้อมตัวถังแบบ Coach-Built พร้อมประสบความสำเร็จอย่างมาก
1960
ในขณะที่ช่วงเวลา Swinging Sixties ได้เริ่มต้นขึ้น รถ Roll Royce ก็ได้กลายเป็นที่ถูกอกถูกใจของคนรุ่นใหม่ ทั้งเหล่าดารานักแสดง นักร้องร็อคสตาร์ชื่อดังที่ต่างชื่นชอบมัน
Roll Royce ได้เชิดฉายอย่างกว้างขวางในโรงภาพยนตร์อีกด้วย ถูกนำเสนอโดย Omar Sharif, Ingrid Bergman และ Rex Harrison และสำหรับรุ่น Barker-bodied Phantom II ก็ถูกจัดแสดงในฟิล์มปี 1965 เป็นรถ Roll Royce สีเหลือง
ในปีเดียวกันนั้น John Lennon ก็ได้ซื้อ Phantom V สีขาวล้วน โดย Lennon นำไปเพ้นท์สีใหม่เป็นสีดำด้านก่อนจะนำไปเพิ่มลวดลายแบบลุยๆ อีกที ตอนนี้มันได้กลายเป็นสิ่งมีค่าที่ยิ่งน่าจดจำไปในหมู่คนหลายๆคน
ในปี 1970
ก็นับว่าเป็นปีที่ท้าทายมากสำหรับรถ Rolls Royce โดยการเปิดตัวของบริษัท 2 บริษัทที่แยกตัวออกมา ก็จะทำให้ได้เห็นรถใหม่เพิ่มอีก 2 รุ่น
ภายใต้แบรนด์ของ Rolls Royce ก็มีรถ Corniche 2 ประตู สร้างขึ้นตามดีไซน์ Silver Shadow สร้างขึ้นด้วยมือ โดย Mulliner Park Ward มีให้เลือกทั้งแบบ hardtop หรือ convertible ผลิตเพียงแค่ 1,306 คัน เท่านั้น
รถ The Camargue ก็ถูกสร้างโดย Mulliner Park Ward ภายใต้พื้นฐานของ Silver Shadow ซึ่งได้ผู้ออกแบบฝีมือดีชาวอิตาลี Pininfarina เป็นรถ Rolls Royce รุ่นแรกที่มีระบบเครื่องปรับอากาศ ทำความเย็นแบบกระจายหลายทิศทาง รุ่น Silver Shadow II ถูกเสริมด้วยกันชนสีดำ พร้อมช่วงล่างถุงลม และได้มีการพัฒนาระบบบังคับเลี้ยวให้ดีขึ้น
ในปี 1980 บริษัท British defence company Vickers ได้เข้ามาซื้อบริษัท Rolls-Royce Motors Limited เข้ามาผลิตร่วมกับ Bentley Motor Cars และบริษัทได้เข้าสู่ตลาดหุ้น London Stock Exchange ในปี 1985
ด้วยการทำลายสถิติหลายอย่าง ด้านสมรรถนะ ทำให้ Rolls-Royce ยังคงเป็นผู้นำในด้านงานวิศวกรรม ในปี 1983 Thrust 2 ทำลายสถิติความเร็วที่ 633.468 ไมล์/ชั่วโมง มันขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เจ็ท Rolls-Royce Avon 302
นอกจากนี้ยังเป็นการบุกเบิก รถหรู Full-Size luxury อย่าง Silver Spirit และ Silver Spur (เวอร์ชั่นฐานล้อยาวของ Silver Spirit) และเป็นครั้งแรกของตรา Spirit of Ecstasy แบบพับเก็บได้ ที่เห็นกันถึงยุคปัจจุบัน
ในช่วงยุค ปี 1990 Rolls-Royce เข้าสู่บทใหม่ในประวัติศาสตร์ เมื่อกลุ่ม BMW Group ยักษ์ใหญ่แห่งเยอรมัน ได้เข้าซื้อกิจการ Rolls-Royce มาพร้อมกับโรงงานใหม่ล่าสุด ที่ Goodwood ที่ที่ตำนานบทใหม่ได้เริ่มขึ้น
บทความนี้เป็นลิขสิทธิ์ของทาง Bangkoksupercar.com